วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ตลาดรถเกรย์เก็ตคึกคัก

ศึกรถนำเข้า-เกรย์มาร์เก็ตคึกคักไม่หวั่นบริษัทแม่ ดีเอสจี ผู้ประกอบการย่านกาญจนาภิเษกเตรียมขยายฐานลูกค้า ด้วยการเป็นตัวแทนชุดแต่งพอร์ช - เฟอร์รารี่ ภายใต้แบรนด์ Fairy Design จากญี่ปุ่น

ด้านเท็ดดี้ ออโต้เซลส์ ตบเท้าเข้าร่วมงานโชว์รถหวังช่วยดันเป้า 500 คันต่อปี ส่วนทีเอสแอล เดินสายภาคใต้หวังเจาะลูกค้าใหม่ ขณะที่เอส.อี.ซี.พลิกวิกฤติ ขยับจากผู้ขายเป็นการให้บริการหลังการขายรถนำเข้าทุกยี่ห้อ

นายสิทธิชัย เอื้อศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอสจี ออโต้เซลล์ เซอร์วิส จำกัด ตัวแทนนำเข้ารถยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทได้รับสิทธิให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการแต่เพียงรายเดียวในประเทศไทยของชุดแต่งแบรนด์ Fairy Design จากประเทศญี่ปุ่น โดยชุดแต่งดังกล่าวจะแต่งให้กับรถยนต์แบรนด์ ปอร์เช่ และเฟอร์รารี่ ซึ่งบริษัทจะทำการเปิดตัวรถรุ่นพิเศษ ปอร์เช่ พานาเมร่า ik8k รถสปอร์ต 1 ใน 2 รุ่นที่พัฒนาเป็นรถยนต์ 4 ประตู สนนราคา 9.5 ล้านบาทและจะทำการเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวในงาน ลักชูรี่ เฟสติวัล ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 ตุลาคม 2554 ณ อาคาร 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นอกเหนือจากปอร์เช่ที่จะเป็นไฮไลต์ภายในงานแล้ว บริษัทยังเตรียมรถรุ่นใหม่ จากัวร์ รุ่น XJL ซึ่งเป็นออพชันปี 2012 ที่เบาะหลังสามารถปรับไฟฟ้าได้ จำหน่ายในราคา 8 ล้านบาท และจะทำการเปิดตัวเมอร์เซเดส - เบนซ์ CLS 250 ในราคาพิเศษ 5.8 ล้านบาท และ แลนด์โรเวอร์ รุ่น Evoque สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากในงาน และได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 20 คัน หรือคิดเป็นมูลค่า 80 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายรวมของปี 2554 คาดว่าจะทำได้ประมาณ 360 คัน
นายสิทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผ่านกิจกรรมโรดโชว์หรือมหกรรมโชว์รถ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ได้เข้าร่วมมามากกว่า 4 งาน และได้รับการตอบรับอย่างดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเดินในงานโชว์รถจะตัดสินใจซื้อรถทันที ซึ่งลูกค้าจะได้รับรถทันทีโดยไม่ต้องรอออร์เดอร์ ขณะที่การจ่ายเงินนั้นก็พบว่าจ่ายด้วยเงินสด 50% และเงินผ่อน 50%

ด้านนายเลิศพงษ์ ชัยพรพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท เท็ดดี้ ออโต้เซลส์ จำกัด ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทมียอดขายในแต่ละปีประมาณ 400 คัน และในปี 2555 ได้วางแผนงานรุกตลาดด้วยการเร่งขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการวางงบประมาณทางการตลาดไว้ 50 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 500 คัน

โดยแนวทางที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น คือการจัดกิจกรรมทางการตลาด - การทำโปรโมชันข้อเสนอทางการเงิน ล่าสุดบริษัทได้เตรียมเข้าร่วมงาน ลักชูรี่ เฟสติวัล ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 ตุลาคม 2554 ณ อาคาร 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยภายในงานนี้จะนำรถ รุ่นใหม่ๆอาทิ เมอร์เซเดส - เบนซ์ รุ่น C-Class Coupe ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท ,รุ่น SLK ราคา 3.99 ล้านบาท และรุ่น CLS 250 และ 350 ราคา 4.99 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังมี มินิ คูเปอร์ เอส คันทรี่แมน รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ โมเดลปี 2011 สนนราคาเริ่มต้นที่ 2.69 ล้านบาท และโตโยต้า อัลพาร์ด ,เวลล์ไฟร์ รถเอ็มพีวี สนนราคา 3.49 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งก่อนงานบริษัทได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าจองก่อน เพื่อที่จะสามารถรับสินค้าได้ทันในเดือนพฤศจิกายน 2554 นี้ โดยนอกจากรถรุ่นใหม่ๆแล้วภายในงานยังมีข้อเสนอด้านบริการหลังการขาย ซึ่งลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อรถจะได้รับส่วนลดค่าแรง และค่าอะไหล่ คาดว่าจะมียอดขาย 30 คัน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 120 ล้านบาท

ขณะที่นางสาวสุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เตรียมรุกตลาดภาคใต้ ด้วยการจัดกิจกรรม "ทีเอสแอล โรดโชว์" ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2554 นี้ ณ ลานแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล จังหวัดภูเก็ต โดยมีรถไฮไลต์คือ เมอร์เซเดส - เบนซ์ รุ่น เอสแอลเค 250,เดอะ นิว ซีแอลเอส, มินิ คันทรีแมน พร้อมแคมเปญ อาทิ ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน หรือ ดอกเบี้ย 0%

ด้านนายกิตติมา สุทัศน์ ณ อยุธยา กรรมการบริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ก็ได้ออกมาประกาศถึงความเคลื่อนไหวของแบรนด์ โดยได้ชี้แจงนโยบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุมัติให้ฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเนื้อหาหลักคือการมุ่งการบริการหลังการขายให้กับรถยนต์นำเข้า ทุกค่าย ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ

"ปัจจุบันตลาดรถนำเข้าเติบโตมาก โดยมีผู้เล่นมากกว่า 200 รายและในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมาต่างแข่งขันกันนำรถเข้ามาจากต่างประเทศโดยเปิดเป็นโชว์รูมขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีการให้บริการหลังการขายและการซ่อมบำรุง เอส.อี.ซี.เล็งเห็นโอกาสในการที่จะให้บริการรถยนต์เหล่านั้น ซึ่งไม่มีที่ที่จะให้บริการแบบครบวงจรได้จึงประกาศแคมเปญรับให้บริการตรวจเช็กรถยนต์นำเข้า ทุกค่าย ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแรกเข้า 160,000 บาท เหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต" โดยการกลับมาครั้งนี้มีแคมเปญ 2 แบบได้แก่

1.ศูนย์บริการทางเลือก ที่ลูกค้าสามารถเลือกอะไหล่ตามความต้องการ ทั้งอะไหล่แท้, อะไหล่ OES หรืออะไหล่ที่ผลิตจากโรงงานมาตรฐานเดียวกันกับบริษัทประกอบรถยนต์, อะไหล่ทดแทน รวมไปถึงซ่อมชิ้นส่วนอะไหล่ที่สามารถซ่อมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ใหม่
2.โปรโมชันการตรวจเช็กระยะ โดยลูกค้าที่นำรถเข้ามาตรวจเช็ก พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ,พร้อมไส้กรอง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,999 บาท ซึ่งโปรโมชันเริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค.2554

นายกิตติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทิศทางเรื่องการดำเนินธุรกิจในอนาคตนั้น บริษัทตั้งใจจะขยายสาขาเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาดรถยนต์นำเข้าอีก 3 สาขา ภายในปีหน้า รวมถึงได้มีการพิจารณาสั่งรถหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและมีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนั้นได้ทำการเปิดตัวเว็บไซต์ www.secgroup.co.th ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมพร้อมดูโปรโมชันพิเศษทั้งในเรื่องของการขายและในเรื่องของการซ่อมแซม, เซอร์วิส และ การให้บริการหลังการขาย ตลอด 24 ชม.

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,674 29 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=85571:2011-09-27-08-10-45&catid=134:than-auto-&Itemid=452

ขายรถไม่ออก เต็นท์รถมือสองดิ้นหนีตาย

มาตรการรถคันแรกพ่นพิษ เต็นท์รถมือสองดิ้นหนีตาย ล่าสุดผู้ประกอบการกว่า 2 หมื่นรายทั่วประเทศระส่ำหนัก ขายรถไม่ออกเตรียมรวมตัวกดดันรัฐทบทวนใหม่ เสนอดึงรถมือสอง เข้ามาอยู่ในระบบรถคันแรกด้วย ด้านบริษัทประมูลรถแห่ขยายช่องดึงรถมือสอง จากเต็นท์ระบายออกก่อนถูกกดราคาต่ำลงอีก บิ๊ก"สหการประมูล"เสือปืนไวต.ค.นี้เปิดพื้นที่ประมูลรถจากเต็นท์ในต่างจังหวัด จากเดิมประมูลรถที่ถูกไฟแนนซ์ยึดอย่างเดียว เชื่อจะมีรถจากเต็นท์เข้ามาเพิ่มขึ้น 20-30% ด้านคลังดึง"รถคันแรก"ทบทวนใหม่
ผลสืบเนื่องจากมาตรการรัฐกับนโยบายรถคันแรก ของรัฐบาลที่หวังจะช่วยเติมฝันคนอยากมีรถให้สมหวัง ด้วยมาตรการส่วนลดทางภาษี 100,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรก ทำท่าจะปั่นป่วนขึ้นทุกที เมื่อรัฐบาลจะขยายความจุกระบอกสูบโดยไม่จำกัดซีซี โดยราคารถป้ายแดงจะต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท/คันนั้นยิ่งเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองระส่ำหนัก เพราะรถใหม่กับรถมือสองมีเพดานราคาที่แตกต่างกันไม่มาก

- เต็นท์รถดิ้นหนีตาย
นายวิทยา อนุชาชาญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิทอินเตอร์เทรด จำกัด เจ้าของเต็นท์รถรายใหญ่ย่านคลองตัน เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองทั่วประเทศที่มีมากกว่า 20,000 ราย มีรถมือสองอยู่ในระบบมากกว่า 1 ล้านคัน กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังจากรัฐบาลมีมาตรการ"รถคันแรก"ประกาศออกมาก็ทำให้ตลาดเต็นท์รถเงียบเหงาผิดหูผิดตา ไม่มีลูกค้าเดินเข้ามาที่เต็นท์อย่างคึกคักเหมือนเดิม จากที่ปกติจะมีลูกค้าเดินเข้ามาในเต็นท์รถจำนวนมากในช่วงวันศุกร์ วันเสาร์และวันอาทิตย์ จากปัญหานี้ทำให้ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองทั่วประเทศ วิตกว่านับจากนี้ไปธุรกิจเต็นท์รถหลายรายจะหายไปจากระบบ จึงพร้อมใจกันรวมตัว เพื่อเปิดแถลงข่าวในโรงแรมย่านศรีนครินทร์ขึ้น ในเร็วๆนี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมาตรการรถคันแรกใหม่ เนื่องจากเวลานี้เต็นท์รถเกือบทั้งหมดมียอดขายรถยนต์มือสองหายไปแล้วตั้งแต่ 50-70%

- เสนอดึงรถมือสองเข้าระบบ
ทั้งนี้นอกจากจะให้รัฐบาลทบทวนมาตรการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสอง จะรวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาข้อเสนอของผู้ที่ได้รับผลกระทบดังนี้ 1. หากนโยบายรถคันแรกยังเดินหน้าต่อไปก็ต้องการให้รัฐบาลนำรถมือสองเข้ามาอยู่ในระบบของการลดภาษีรถยนต์คันแรกด้วย เพื่อจะได้เกิดความเป็นธรรมต่อโครงสร้างตลาดรถยนต์ทั้งป้ายแดงและรถมือสอง ขณะที่ภาครัฐบาลก็จะได้เดินตามนโยบายประชานิยมได้อย่างทั่วถึง 2.ถ้ารัฐบาลทำตามข้อแรกไม่ได้ก็ขอให้รัฐบาลชดเชยรถยนต์ที่เต็นท์มีค้างอยู่ในสต๊อก โดยให้ปฏิบัติแบบเดียวกับที่รัฐเข้าไปชดเชยให้กับธุรกิจปั๊มน้ำมัน ที่รัฐเคยเข้าไปลดภาษีน้ำมันมาแล้วหลายครั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะเข้าข่ายรัฐเลือกปฏิบัติ

3.ถ้ารัฐไม่สามารถทำได้ทั้งข้อ1และข้อ2 รัฐก็ควรจะลดภาษีสรรพสามิตเฉพาะรถอีโคคาร์หรือรถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี เท่านั้น ส่วนรถปิกอัพแค็บก็ให้ลดภาษีสรรพสามิตตามที่ประกาศไว้ ส่วนรถปิกอัพ2ตอนไม่เห็นด้วยที่รัฐจะใช้มาตรการรถคันแรกเพราะเป็นรถที่มีซีซีสูง และไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะมีรถคันแรก

- หวั่นสูญเงินเกินแสนล.
อย่างไรก็ตามขอให้รัฐบาลรีบตัดสินใจในความชัดเจนของนโยบายรถคันแรกให้เร็วที่สุด หลังจากในระหว่างนี้ยังเกิดความสับสน และไม่ชัดเจนอยู่ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่รัฐบาลยังตอบคำถามไม่ได้ว่าจะป้องกันการสวมสิทธิ์อย่างไร และจะป้องกันการโอนลอยอย่างไร นอกจากนี้นโยบายรัฐครั้งแรกระบุรถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี ต่อมารัฐให้ออกมาให้ข่าวอีกว่าจะพิจารณา 1600 ซีซีด้วย แต่จะต้องเป็นรถที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท/คัน หากเป็นเช่นนี้ก็แปลว่ารัฐบาลฟังแต่เสียงค่ายรถป้ายแดงโดยที่ไม่ยอมฟังเสียงจากผู้ประกอบการรถมือสองด้วย ทั้งที่มีปริมาณรถมือสองที่อยู่ในเต็นท์รถทั่วประเทศ และเป็นรถที่ไฟแนนซ์ยึดไว้รวมถึงรถที่ซื้อมาและขายไปที่ไม่ได้อยู่ในรูปของเต็นท์รถรวมกันแล้วมีมากกว่า 1 ล้านคัน

สำหรับทางออกของบริษัท วิทอินเตอร์เทรด จำกัด ในช่วงที่ได้รับผลกระทบในระยะสั้นนี้จะใช้กลยุทธ์ดาวน์ต่ำ ขายรถถูกลงตั้งแต่ 40,000-50,000 บาท/คัน สำหรับรุ่นที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี และถ้าเป็นเครื่อง1600 ซีซี ก็จะลดลงตั้งแต่ 50,000-60,000 บาท/คัน และจะให้ดาวน์ต่ำ 0% จากเดิมรถมือสองจะให้ดาวน์ตั้งแต่ 5-10%

"น่าเป็นห่วงนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล เพราะรัฐบอกว่าใช้งบประมาณในวงเงินไม่เกิน30,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลไม่ได้มองว่าเงินที่เชื่อมโยงกับไฟแนนซ์ กับเต็นท์รถ และกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่าง กลุ่มอู่เคาะ พ่นสีรถ อุปกรณ์รถ ตรงนี้รวมกันแล้วเสียหายมากกว่าโดยในระยะ 1 ปีที่มีมาตรการรถคันแรกคาดว่าจะสูญเสียเม็ดเงินไปเกิน 100,000 ล้านบาท"

- บริษัทประมูลเด้งรับรถเต็นท์
ด้านนายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทสหการประมูล จำกัด กล่าวว่าในช่วงที่รัฐบาลเดินมาตรการรถคันแรกยอมรับว่าผู้ประกอบการเต็นท์รถต่างได้รับผลกระทบทำให้สหการประมูลสนใจที่จะช่วยเต็นท์รถระบายรถในสต๊อกออกมาโดยผ่านการประมูลโดยบริษัทสหการประมูลฯจะได้หัวคิวหรือค่าธรรมเนียมและค่าดำเนินการประมูลคันละ 7,000 บาท/คัน และเต็นท์รถจะได้กำไรลดลงจากที่เคยขายเองได้กำไรประมาณ 20% ก็จะลงมาเหลือประมาณ 10% ซึ่งจะได้กำไรลดลงแต่ก็ยังดีกว่ารถแช่อยู่ในเต็นท์และราคาต่ำลงไปเรื่อยๆ โดยสหการประมูลจะเปิดให้เต็นท์รถเอารถมาขายผ่านในลักษณะประมูลรถ และสหการประมูลจะมีสินเชื่อให้คนที่มาซื้อรถด้วย

อย่างไรก็ตามบริษัทสหการประมูลฯมีโครงการจะเปิดประมูลทั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยพื้นที่สหการประมูลในต่างจังหวัดจะเปิดให้รถจากเต็นท์รถมือสองเข้ามาประมูลด้วย จากเดิมในพื้นที่ต่างจังหวัดจะประมูลรถที่ถูกไฟแนนซ์ยึดมาเท่านั้น ส่วนในพื้นที่การประมูลที่สำนักงานใหญ่เหน่งจ๋ายและที่สหการประมูล รังสิตคลอง8 2 แห่งนี้จะเป็นรถที่มาจากเต็นท์รถมือสองเพียง 10% และ80-90% เป็นรถที่ไฟแนนซ์ยึดมา ,รถผู้บริหารและรถเช่าเข้ามาประมูล และเชื่อว่าในระยะ 1 ปีที่มีนโยบายรถคันแรกออกมาจะทำให้เต็นท์รถแห่เข้ามาโดยผ่านการประมูลเพิ่มขึ้นจาก10% เป็น 20-30% "

- ระบายสต๊อกก่อนราคาร่วง
นายเอกพิทยากล่าวอีกว่าขณะนี้รถมือสองจะมีราคาถูกลงตั้งแต่ 5-10% โดยส่วนหนึ่งมาจากที่ทุกไตรมาสสี่ของแต่ละปีจะมีการปรับราคารถลงมาเพื่อที่ว่าเตรียมตีราคารถมือสองในปีถัดไป แต่ปีนี้มีเหตุผลอื่นประกอบเพิ่มเข้ามาอีก เช่น กรณีปัญหาน้ำท่วม ทำให้เจ้าของรถบางรายต้องการขายรถทิ้ง ขณะที่รัฐบาลก็เดินมาตรการรถคันแรกทำให้รถมือสองถูกลงกว่าเดิม โดยลดราคาลงมาแข่งขันกับรถป้ายแดง รวมถึงจะมีรถโมเดลใหม่เข้ามา เต็นท์รถมือสองจึงรีบระบายรถเก่าออกมาก่อน ซึ่งปัจจุบันจะมีรถเก่าหรือรถมือสองที่อยู่ในระบบรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.8 ล้านคัน จำนวน 1ใน3 หรือ 1ใน4 จะอยู่ในเต็นท์รถ ขณะที่ยอดขายรถใหม่ป้ายแดงของไทยมีปริมาณปีละ 700,000-800,000 คัน หรือคิดเป็น 30% ของปริมาณรถมือสอง โดยในปีที่ผ่านมา มีรถมือสองผ่านสหการประมูล 40,000 คัน สหการประมูล มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ประมาณ 65% อันดับสอง แอพเพิล จากญี่ปุ่น ส่วนแบ่งตลาด 20% อันดับสาม แมนไฮมม์ จากอเมริกา ส่วนแบ่ง 10% อันดับสี่จะเป็นแบรนด์อื่นๆ ประมาณ 5%

- แอพเพิลจ่ออัดแคมเปญแรง
นายเชาวลิต กาญจนนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ประมูลรถยนต์ กล่าวถึงการปรับตัวของแอพเพิล ได้มีการเตรียมกลยุทธ์เพื่อรองรับกับนโยบาย ด้วยการจับมือกับสถาบันการเงิน-ไฟแนนซ์ต่างๆ เพื่อจัดทำแคมเปญและข้อเสนอทางการเงิน อาทิ ลดต้นลดดอก โดยคาดว่าจะได้เห็นแคมเปญดังกล่าวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนั้นแล้วก็จะมีการนำรถออกไปประมูลนอกสถานที่มากขึ้น มีการตกแต่งรถให้มีสภาพดี ลดราคาลงมา และทำแคมเปญแรงๆเพื่อดึงดูดผู้บริโภค และคาดว่าในอนาคตลูกค้าจะได้เห็นข้อเสนอทางการเงินอาทิ ดอกเบี้ย 0% จากเดิมที่ดอกเบี้ยรถมือสองจะอยู่ที่ประมาณ 4.6% และมีการแจกกิฟต์เวาเชอร์เพื่อกระตุ้นทั้งลูกค้าที่มาร่วมประมูลรถ รวมไปถึงลูกค้าที่นำรถเข้ามาจำหน่ายกับแอพเพิลก็จะได้รับสิทธิเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันแอพเพิลมีช่องทางในการนำรถเข้ามาประมูล 4 รูปแบบคือ 1.จากสถาบันการเงิน คิดเป็น 60% 2.บริษัทรถเช่า 20% 3.เต็นท์รถทั่วไป มากกว่า 10% 4.ลูกค้าทั่วไป 9-10%

- นำรถเต็นท์ประมูลไม่คุ้ม
ด้านนายประเสริฐ ไตรมณีพงศ์ ผู้จัดการเต็นท์รถพีเอ็มคาร์เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า มีประสบการณ์ในธุรกิจขายรถมือสองมา 16 ปี ที่ผ่านมาขายรถได้ต่อเดือน 17-18 คัน พอนโยบายรถคันแรกออกมาขายรถได้ไม่ถึง10 คัน ส่วนที่มีบริษัทประมูลรถออกมาเสนอตัวเปิดช่องให้มีการนำรถเต็นท์ไปผ่านการประมูลนั้น

ผู้ประกอบการเต็นท์รถส่วนใหญ่ไม่หวังกับการขายผ่านการประมูลมากเพราะจะขาดทุนค่าดอกเบี้ย ขาดทุนกำไร ซึ่งอาจจะไม่คุ้มเพราะมีค่าโอน ค่าขนย้าย แต่ผู้ประกอบการเต็นท์รถบางรายที่มีสายป่านสั้นก็อาจจะสนใจเนื่องจากไม่ต้องการให้เงินมาจมอยู่นาน จึงยอมได้กำไรเล็กน้อยดีกว่าขาดทุนจึงนำรถจากเต็นท์ไปขายผ่านระบบการประมูล

"มาตรการรถคันแรกกำลังจะกลายเป็นปัญหาสังคม ยิ่งถ้าให้มีการดาวน์ถูก ก็ยิ่งทำให้เกิดปริมาณรถที่ถูกยึดมากขึ้น เพราะจะมีเด็กที่เพิ่งเรียนจบใหม่ต้องการถอยรถใหม่ สุดท้ายก็แบกภาระไม่ไหวก็กลายเป็นภาระของรัฐบาล เป็นเงินภาษีของประชาชนที่ถูกนำไปละเลง"

-ดึง"รถคันแรก"ทบทวนใหม่
อย่างไรก็ตามจากปัญหาดังกล่าว ล่าสุดนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งถอนวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา เพื่อทบทวนเรื่องมาตรการคืนเงินรถคันแรกที่ให้กรมสรรพสามิตได้กลับไปทบทวนมาตรการดังกล่าวใหม่

ทั้งนี้ ที่ต้องถอนวาระกลับมาพิจารณาใหม่ เนื่องจากไม่ต้องการให้สิทธิกับรถประกอบในต่างประเทศ และมี 2-3 เรื่องที่จะแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งเรื่องรถยนต์นำเข้า รุ่น ขนาด การผ่อนไฟแนนซ์ รวมถึงเรื่องเงินบางส่วน และไม่ควรจำกัดทางเลือก เรื่องรุ่นแหล่งที่มาและขนาด

"เนื่องจากไม่ต้องการที่จะให้สิทธิกับรถยนต์ที่ประกอบในต่างประเทศ เพราะต้องการสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ที่มีการตั้งโรงงานผลิตและประกอบในประเทศมากกว่าที่จะเปิดทางให้รถประกอบนอกเข้ามาให้ได้รับการสนับสนุนด้วย"

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เหตุผลที่กระทรวงการคลัง ยังไม่มีการนำเสนอรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมตามโครงการรถยนต์คันแรกเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวานนี้ เป็นเพราะเอกสารและข้อมูลยังไม่ครบถ้วนเพียงพอที่จะให้ครม. สามารถสรุปรายระเอียดที่ชัดเจนได้ในขณะนี้ จึงต้องกลับไปทบทวนใหม่ แต่คาดว่าน่าจะนำเสนอเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้า

ขอบคุณข้อมูลข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,674
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=85692:2011-09-28-03-21-47&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาษีรถคันแรก ลิสซิ่งจัดการความเสี่ยงอย่างระมัดระวังมากขึ้น

กสิกรไทยชี้มาตรการภาษีรถคันแรก ปลุกผีธุรกิจเช่าซื้อ คาดปีนี้โต 30% ในปีนี้ ส่วนปีหน้าโต 25% เตือนระวังลูกค้าทิ้งรถ หลังเศรษฐกิจโลกป่วน  มาตรการภาษีรถคันแรกที่รัฐบาลประกาศใช้ในช่วง 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 (ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 ก.ย. 2554) อาจก่อให้เกิดความต้องการซื้อรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ผ่านการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้บริโภค ซึ่งเมื่อผนวกกับกลยุทธ์เชิงรุกของผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธุรกิจเช่าซื้อรถในระบบสถาบันการเงินมีโอกาสเติบโตระดับสูงต่อเนื่องประมาณ 28-30% ในปี 2554 และเหนือ 25% ในปี 2555

คาดว่าผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ อาจต้องมีการปรับกลยุทธ์ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงที่ระมัดระวังมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากกรณีที่ผู้บริโภคที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบางกลุ่มอาจประสบปัญหาการชำระหนี้ อันนำมาสู่ปัญหาการทิ้งรถ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นได้

ด้วยเป้าหมายธุรกิจเชิงรุกของผู้เล่นใหญ่หลายราย คงทำให้มีโอกาสเห็นภาวะการแข่งขันในธุรกิจนี้ที่ยังคงความรุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คงส่งผลดีต่อผู้บริโภค

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

เล็งแก้เกณฑ์ บ้านหลังแรก / รถคันแรก เพิ่ม 1,600 ซีซี

"บุญทรง" ทนเสียงสวดไม่ไหว เล็งแก้เกณฑ์ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก เปิดช่องให้คนมีรายได้น้อยมีโอกาสร่วมโครงการ รวมทั้งเร่งขยายช่องทางให้ผู้ซื้อและผู้ประกอบการรถยนต์ 1600 ซีซี และรถยนต์ประกอบสำเร็จนำเข้า ได้สิทธิคืนภาษีรถคันแรก 1 แสนบาทเช่นกัน อ้างรัฐสูญรายได้เพิ่ม แค่หลักพันล้าน

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทบทวนมาตรการบ้านหลังแรกที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า มาตรการที่ออกมา ไม่ได้ตอบโจทย์การช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริง เพราะมีเพียงผู้ที่อยู่ในระบบภาษีที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปเท่านั้น ที่จะได้ประโยชน์ ซึ่งการทบทวนมาตรการครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์มากขึ้น

ขณะเดียวกันนายบุญทรงกล่าวว่า ได้เร่งให้กรมสรรพสามิตจัดทำรายละเอียดผลกระทบรายได้ภาษี กรณีขยายสิทธิให้รถยนต์ 1600 ซีซี และรถยนต์ประกอบนำเข้าสำเร็จ ได้สิทธิคืนเงินให้กับผู้ซื้อรถคันแรก 1 แสนบาท เพื่อให้ครม.เห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมจากที่เข้าไปก่อนหน้านี้ โดยคาดจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ทั้งนี้การขยายสิทธิ์ให้ครอบคลุมรถยนต์ 1,600 ซีซี เพราะคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องการซื้อรถเป็นของตัวเอง จะได้รับประโยชน์ด้วย เพราะรถแท็กซี่ถูกบังคับว่ารถยนต์ต้องไม่ต่ำกว่า 1600 ซีซี

โดยหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องไปดูว่า ถ้าขยายสิทธิ์รถยนต์คันแรกให้ครอบคลุมรถนำเข้าและรถขนาด 1,600 ซีซีนั้น จะมีรถยนต์ที่ได้รับสิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกกี่รุ่น และมีผลกระทบต่อการคืนเงินเท่าใด จากขณะนี้กำหนดที่คาดว่าจะต้องคืนเงิน 3 หมื่นล้านบาท

ด้านนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า รายละเอียดทั้งหมดจะสรุปได้ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม ซึ่งจะมีงานเปิดตัวโครงการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกโดยมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธาน โดยการขยายสิทธิ ทำให้กรมเสียรายได้จากภาษีเป็นหลักพันล้านเท่านั้น

ด้านผู้ประกอบการรถยนต์บางราย มองว่า ข่าวการขยายสิทธิคืนเงินภาษีรถคันแรก ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางแผนขายรถยนต์ใหม่หมด ซึ่งต้องการให้คลังทำมาตรการนี้ให้นิ่งเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในการขาย นอกจากนี้ผู้ประกอบการรถยนต์หรูที่มีราคาแพง ก็ต้องการได้สิทธิจากมาตรการนี้เหมือนกัน เพราะเห็นว่า หากรัฐบาลจะสนับสนุน ก็ควรทำให้ผู้ประกอบการทุกรายได้ประโยชน์เท่าเทียมกันทั้งหมด

สำหรับมาตรการคืนเงินรถยนต์คันแรก ที่เข้าครม. ก่อนหน้านี้กำหนดให้รถยนต์นั่งไม่เกิน 1500 ซีซี รถกระบะและรถดับเบิ้ลแค็ปเท่านั้น โดยต้องเป็นรถยนต์ที่ประกอบภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า กรมฯอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเติมเงื่อนไขมาตรการคืนเงินรถคันแรก 1 แสนบาท ตามที่ผู้ที่เกี่ยวข้องเรียกร้อง ได้แก่ ให้รถยนต์ที่ประกอบสำเร็จจากต่างประเทศได้สิทธิจากมาตรการด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์รถยนต์ ทาทา จากประเทศอินเดีย และโปรตอน จากมาเลเซีย ร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการค้าจากมาตรการดังกล่าว

นอกจากนี้ กรมยังพิจารณากรณีของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ที่ต้องการขยายเงื่อนไขให้รถยนต์ 1600 ซีซี ได้รับสิทธิจากมาตรการนี้ เพราะฟอร์ด ยืนยันว่ารถยนต์ 1600 ซีซี ของฟอร์ด ประหยัดน้ำมัน ปล่อยมลพิษน้อย และ ราคาถูกกว่า รถยนต์ 1500 ซีซี บางรุ่นที่ได้รับสิทธิในครั้งนี้

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ได้ข้อสรุปคืนภาษีรถคันแรก ปลดล็อกโอนได้ก่อน 5 ปี

ส.ธุรกิจเช่าซื้อได้เฮ กรมสรรพสามิต ยอมอ่อนข้อให้ไฟแนนซ์ที่ยึดรถตามนโยบายคันแรกได้ หากผู้ซื้อทิ้งผ่อนชำระ หลังได้รับเงินคืน 1 แสนบาทไปแล้ว และโอนขายชำระหนี้ก่อน 5 ปี ระบุ การยึดรถต้องผิดนัดชำระ 3 เดือน ชี้ ผู้ที่ดาวน์น้อยมีโอกาสหนี้เสียสูงกว่า ส่วนเงินส่วนลด 1 แสนรัฐต้องไปไล่บี้เอง

นายชลิต ศิลป์ศรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิตในเรื่องนโยบายคืนเงินไม่เกิน 1 แสนบาทสำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรกราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยระบุว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นในการผ่อนปรนเงื่อนไขให้ไฟแนนซ์โอนรถยนต์ก่อนครบ 5 ปี ตามเกณฑ์ของโครงการคืนเงินรถยนต์คันแรก ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ หลังจากที่ได้รับเงินคืนจากกรมสรรพสามิตไปแล้ว

สำหรับการยึดรถนั้น บริษัทไฟแนนซ์จะดำเนินการก็ต่อเมื่อผิดนัดชำระ 3 เดือนติดต่อกัน โดยในเดือนต่อไปบริษัทจะมีหนังสือทวงถามหนี้ไปให้กับผู้เช่าซื้อ หากยังไม่มีการชำระหนี้ บริษัทไฟแนนซ์ก็สามารถยึดรถได้ทันที หลังจากนั้นบริษัทไฟแนนซ์จะต้องยื่นเอกสารหลักฐานการผิดนัดชำระมายังกรมสรรพสามิตเพื่อทำการผ่อนปรนให้สามารถโอนรถยนต์ได้ต่อไป

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตถือเป็นผู้ที่มีหน้าที่หลักในการติดตามเงินที่รัฐบาลคืนไปให้หลังจากถือครองครบ 1 ปี จากผู้เช่าซื้อที่ผิดนัดชำระจนถูกยึดรถ แต่หากบริษัทไฟแนนซ์สามารถนำรถยนต์ที่ยึดมาออกไปขายทอดตลาดได้แล้ว พบว่ามีเงินเหลือจากการชำระหนี้ที่ผู้เช่าซื้อติดไว้กับบริษัทไฟแนนซ์ ก็พร้อมคืนให้กับกรมสรรพสามิตต่อไป

สำหรับเงื่อนไขการเช่าซื้อทั่วไปจะกำหนดเงินดาวน์ 20-25% ของราคารถ ส่วนจะมีการปรับเพิ่มเงินดาวน์สำหรับผู้ที่ซื้อรถที่เป็นรถคันแรกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง

อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วพบว่าผู้ที่มีเงินดาวน์น้อยจะมีโอกาสเป็นหนี้เสียมากกว่าเงินดาวน์สูง โดยปัจจุบันมีหนี้เสียอยู่ประมาณ 2-3% ของยอดสินเชื่อเช่าซื้อคงค้างทั้งระบบที่ 8 -9 แสนล้านบาท

สำหรับยอดสินเชื่อเช่าซื้อในปีนี้คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการคืนเงินให้กับผู้ซื้อรถคันแรก ที่น่าจะทำให้ยอดขายรถทั้งปีอยู่ที่ 9.2-9.3 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มียอดขายรถยนต์ 7 แสนคัน โดย 80-90%ใช้สินเชื่อเช่าซื้อ ทำให้ค่าว่ายอดสินเชื่อรถปีนี้อยู่ที่ 4-5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ที่ 4.2 แสนล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
http://www.astv-tv.com/news1/viewnews.php?data_id=1011251&numcate=2

เงื่อนไขคืนภาษีรถยนต์คันแรก

1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555

3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน

4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

5. เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน

7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์

9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน

10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้

11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

นโยบายภาษีรถคันแรก เริ่ม 4 ต.ค.54 ถึง 31 ธ.ค. 55

รัฐบาลจะเริ่มดำเนินโครงการอย่างเป็นทางการนโยบายภาษีรถคันแรก (คิกออฟ) ในวันที่ 4 ต.ค. นี้ เป็นต้นไป แต่นโยบายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. โดยยึดจากใบจองรถว่า ต้องเป็นใบจองซื้อรถที่ลงวันที่ตั้งแต่ 16 ก.ย. เป็นต้นไป จึงมีสิทธิเข้าร่วมโครงการดังกล่าว จนถึงวันสิ้นสุดโครงการที่ 31 ธ.ค. 55 โดยยึดถือว่า รถที่มีเอกสารครบทั้ง 7 รายการที่มายื่นในวันสุดท้ายนี้ จึงมีสิทธิเข้าร่วมโครงการอยู่ แม้ยังไม่ได้รับรถก็ตาม เมื่อมีผู้ไปสั่งจองรถ ธุรกรรมก็เกิดขึ้น และดำเนินการไปตามกลไกของภาคเอกชน รัฐบาลไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อที่ต้องนำเอกสารมายื่นที่กรมสรรพสามิตให้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงจะได้รับเงินคืน โดยรัฐบาลลดหย่อนภาษีสรรพสามิตให้สำหรับรถกระบะเชิงพาณิชย์ เริ่มเก็บภาษีสรรพสามิตที่ 3% ดับเบิลแค็บ 12% อีโคคาร์ 17% และรถยนต์นั่งกว่า 120%
ขอบคุณรูปภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ bangkokbiznews.com

ผู้ซื้อรถโดยกู้เงินจากบริษัทลิสซิ่งนั้น รัฐบาลจะตีเช็คจ่ายคืนภาษีให้ผู้ซื้อรถ ในฐานะเป็นผู้ครอบครองรถ ไม่ใช่จ่ายให้บริษัทลิสซิ่ง ที่เป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์รถแต่อย่างใด หากผ่อนไม่ไหวจนถูกยึดรถ ถ้าคืนรถอย่างถูกต้องจะให้ลิสซิ่งช่วยตามทวงภาษีคืนจากผู้ซื้อรถให้รัฐบาล ด้วย แต่ถ้าละทิ้งรถเลย กรมสรรพสามิตก็จะตามเรียกคืนภาษีอยู่ดี

มาตรการภาษีรถคันแรกนี้มาถูกทางแล้ว เพราะต้องการให้โอกาสกับคนที่ต้องการเริ่มต้นชีวิต และหากยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นเศรษฐกิจจะดีขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้มากขึ้นตามไปด้วย และไม่ได้สวนทางกับการประหยัดพลังงาน เพราะได้กำหนดที่รถยนต์ประหยัดพลังงาน ประเภทอีโคคาร์ รวมถึงเครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี ที่ไม่ได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากนักและทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้เริ่มต้นทำงาน ผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น ต้องคืนเงินให้ผู้ซื้อ ไม่ใช่ให้สถาบันการเงิน เราต้องแยกเป็น 2 ส่วน โดยให้การดำเนินธุรกรรมซื้อขายรถยนต์เป็นไปตามปกติ แต่แยกในส่วนของการคืนภาษีออกมา ซึ่งเป็นภาระของผู้ซื้อเองที่ต้องมาขอคืนภาษีที่สรรพสามิตทั่วประเทศ และต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด หากทำไม่ได้ก็จะถูกเรียกเงินคืนย้อนหลัง

รัฐบาลจะคืนภาษีให้ในอีก 1 ปีข้างหน้า ดังนั้น ระหว่างที่ยื่นขอคืนภาษีไว้แล้วนั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ตรวจสอบเองว่า ผู้ที่มาขอคืนภาษีนั้น มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้รวมถึงกรณีที่กรมการขนส่งทางบกระบุว่า ไม่มีฐานข้อมูลการตรวจสอบรายชื่อทะเบียนย้อนหลังตั้งแต่ปี 49 ลงไปนั้น กรมฯ จะหาแนวทางตรวจสอบเอง แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่หากพบว่ามีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนดนั้น  กรมฯ จะติดตามเรียกเงินภาษีคืน ซึ่งยอมรับว่าการคืนภาษีครั้งนี้ ไม่มีกลไกตามภาษีคืน และไม่มีค่าปรับเงินเพิ่ม เหมือนกับการไม่จ่ายภาษีกรมสรรพากร รัฐบาลต้องใช้กฎหมายแพ่งตามฟ้องเรียกภาษีคืนจากผู้ซื้อรถเป็นราย ๆ ไป

หลักฐานเอกสารสำหรับนโยบายภาษีรถคันแรก 7 อย่าง ได้แก่
1 แบบคำขอคืนภาษีฯ
2 สำเนาบัตรประชาชน
3 สำเนาทะเบียนบ้าน
4 สำเนาหนังสือเช่าซื้อ
5 สำเนาคู่มือการจดทะเบียนรถ
6 หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปี
7 หลักฐานการซื้อรถยนต์

นำเอกสารให้ที่กรมสรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งกรมฯ จะใช้เวลา 7 วัน ยืนยันการได้รับคืนภาษี และผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนภายหลัง 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ

Luxury Car 2011 @ CentralPlaza Rama 2 วันที่ 21-27 ก.ย 54

สัมผัสความเลิศหรูอลังการของรถยนต์ที่หลายคนรอคอย ตื่นตาตื่นใจก่อนใครกับการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยของ Cadillac Escalade Luxury SUV สุดหรูในงาน Luxury Car 2011 @ CentralPlaza Rama 2

Luxury Car 2011 เอาใจผู้ที่หลงใหลในความเร็วที่มาพร้อมกับสมรรถนะชั้นเลิศของรถสปอร์ต และพบกับรถยนต์หลากหลายแบรนด์ดังที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ของทุกท่านพร้อมพบกับไฮไลท์เปิดตัว PORSCHE เปิดตัว Cadillac Escalade Luxury SUV สุดหรูที่ได้รับการโหวตว่าดีที่สุดในโลกจาก US News Ranking ครั้งแรกในประเทศไทย


นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ

- พบกับรถยนต์สุดหรูในฝันที่ยกขบวนมาอวดโฉมรวมมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท อาทิ Lamboghini LP560 คันแรกในประเทศไทยจาก Royal Motors,
RUF RT12S, Mercedes Benz SLS-Class AMG 6.3 AT, Porsche Panamera และ Jaguar XJ 3.0 Portfolio เป็นต้น

- ผู้ที่สนใจออกรถใหม่สามารถจองและรับโปรโมชั่นสุดพิเศษจากค่ายรถชื่อดังได้ในงานนี้งานเดียวเท่านั้น

- พบกิจกรรมจากศิลปินชื่อดังที่สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมามอบความสุขให้กับทุกท่าน

พลาดไม่ได้สำหรับผู้ที่หลงใหลในความเร็วในงาน “Luxury Car 2011 @ CentralPlaza Rama 2”

ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน นี้ ณ ลานหน้าลิฟท์แก้ว ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ โทร 02-866-4300

เตรียมตัวตื่นตาตื่นใจกับ SUV สุดหรู Cadillac Escalade ในงาน “Luxury Car 2011 @ CentralPlaza Rama 2” 21-27 กันยายน นี้


วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เพิ่มช่องทางลงประกาศขายรถยนต์มือสอง ออนไลน์24ชั่วโมง ฟรี

ช่องทางประกาศขายรถที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะและฟรี คือช่องทางการลงประกาศขายรถฟรีทางอินเตอร์เน็ต ถ้าท่านมีรถยนต์คิดที่จะขายรถของท่าน สามารถลงโฆษณาขายรถยนต์ฟรีได้ที่


โดยขั้นตอนในการลงโฆษณาขายรถยนต์ฟรี ได้ง่ายง่าย สบาย ไม่ต้องสมัครสมาชิก กรอกข้อมูลรายละเอียดโฆษณาให้ครบและตรงตามความต้องการขายรถยนต์มือสองของท่าน
1 ราคา
2 ที่สะดวกติดต่อ
3 สภาพรถยนต์
4 อุปกรณ์เพิ่มเติมที่นำมาติดตั้ง แต่งรถยนต์
5 อัพโหลดรูปรถยนต์ที่ลงโฆษณาขายรถยนต์ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจการซื้อ

ลงประกาศขายรถยนต์ฟรีกับทางเว็บ five4cash ยังมีข้อมูลสินเชื่อรถยนต์มือสอง อำนวยความสะดวกในการซื้อขายรถยนต์ของท่านให้ซื้อง่าย ขายคล่อง เมื่อจัดไฟแนนซ์รถยนต์แล้วมีคำตอบให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายว่า

  • ผู้ขายได้รับเงินจากการขายรถได้ประมาณกี่วัน วันไหน
  • ผู้ซื้อได้รับรถยนต์ประมาณกี่วัน วันไหนรับรถมือสองไปใช้งาน
สามารถดูรายละเอียดข้อมูลสินเชื่อรถยนต์ได้ที่ www.five4cash.com

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

คาดตลาดรถยนต์มือสองป่วน ภาษีรถคันแรก

นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย และกรรมการผู้จัดการบริษัท กสิกรไทยลิสซิ่ง กล่าวถึงมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ของรัฐบาล ที่เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี วันพรุ่งนี้ว่า จะส่งผลให้สินเชื่อเช่าซื้อขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ในภาพรวมจะเติบโตขึ้น ทั้งในส่วนของยอดการผลิตและยอดการซื้อ โดยปีนี้ยอดขายรวมเพิ่มเป็น 920,000 คัน จากเดิม 900,000 คัน ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 1,000,000 คัน

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจรถยนต์มือสอง โดยบางแห่งอาจจะขาดทุน เพราะราคาขายรถมือสองจะต้องปรับลดลงอย่างมาก ขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่บวกกำไรเพียงคันละ 30,000-40,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยธุรกิจเช่าซื้อ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น เชื่อว่าไม่เป็นอุปสรรค โดยสินเชื่อเช่าซื้อจะยังขยายตัวประมาณร้อยละ 12

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สนับสนุนนโยบายลดภาษีรถยนต์คันแรก ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้น เมื่อยอดการขายเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ จะได้รับผลดี เช่น เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ ยาง กระจก ปิโตรเคมี

ด้านนายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวไม่ควรใช้เฉพาะรถยนต์ผลิตในประเทศเท่านั้น เพราะขัดหลักสากลและอาจถูกฟ้องร้องได้

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115651

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ปี54 ไตรมาส2 พุ่งเฉียดแสนล้าน

แบงก์ชาติจับตา "สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์" พุ่งกระฉูด เผยไตรมาส 2 เติบโตสูงสุดเฉียด แสนล้าน ดันหนี้ภาคครัวเรือนพุ่ง 16.5% ด้านผู้ประกอบการลีสซิ่งยันสินเชื่อเช่าซื้อเป็นดีมานด์ตลาดแท้จริง เติบโตตามยอดขายรถใหม่ไม่ใช่ฟองสบู่เพราะไม่มีการเก็งกำไรเหมือนอสังหาฯ ยอมรับมาตรการคุม "เงินดาวน์-ดอกเบี้ย" ช่วยยกระดับคุณภาพหนี้มั่นใจปีหน้าพอร์ตเช่าซื้อรถโตถึง 8.3 แสนล้านบาท

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้ว่าภาวะหนี้ในระบบโดยรวมตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยการขยายตัวในอัตราที่สูงเป็นผลจากการฟื้นตัวช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เนื่องจากที่ภาวะหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นประเด็นที่ ธปท.มีการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งมาจากการขยายตัวทั้งในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและเช่าซื้อ โดยส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถนั้นเห็นการขยายตัวสูง เนื่องจากในช่วงหลังธนาคารพาณิชย์หันมาให้ความสนใจในตลาดนี้มากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้การแข่งขันในตลาดค่อนข้างรุนแรง

ทำให้มีความเป็นไปได้ ที่ภาคครัวเรือนจะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการกู้สินเชื่อบุคคล มาเป็นการใช้สินเชื่อรถแลกเงินมากขึ้น เนื่องจากเป็นการกู้ที่ได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า และเป็นการลดความเสี่ยงในระบบธนาคารพาณิชย์ เพราะสินเชื่อมีหลักประกัน ต่างจากสินเชื่อบุคคลที่เสี่ยงสูงเพราะไม่มีหลักประกัน

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ (ธปท.) กล่าวว่า ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สินเชื่อภาคครัวเรือนยังขยายตัวระดับสูงที่ 16.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจากการที่ธุรกิจยานยนต์ฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีหลัง อาจทำให้ความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือน ซึ่งรวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อมากขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่เห็นสัญญาณการชำระหนี้ที่ผิดปกติ แต่ในมุมของ ธปท.เห็นว่า สินเชื่อในกลุ่มเช่าซื้อมีการเติบโตที่รวดเร็วมาก ซึ่ง ธปท.ไม่ได้ประมาท โดยมีการติดตามสถานการณ์สินเชื่อเช่าซื้อใกล้ชิด

ข้อมูลของ ธปท.ระบุว่า ณ ไตรมาส 2 ระบบธนาคารพาณิชย์มีสินเชื่อคงค้างอยู่ 8,463,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2553 สุทธิ 680,403 ล้านบาท หรือ 8.74% โดยสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล เพิ่มขึ้นสุทธิ 149,917 ล้านบาท หรือ 7.41% โดยสินเชื่อเพื่อการซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ มีการขยายตัวมากสุด คือเพิ่มขึ้นสุทธิ 72,736 ล้านบาท หรือ 14.58%

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การแข่งขันของธุรกิจลีสซิ่ง นอกจากการให้สินเชื่อรถใหม่แล้ว ขณะนี้พบว่าสินเชื่อรีไฟแนนซ์ หรือจำนำทะเบียนรถยนต์ เป็นอีกตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง โดยมีผู้นำตลาดรายใหญ่โดดเข้ามาแข่งขันอย่างรุนแรง ทำให้ตลาดนี้มีการเติบโตอย่างมาก อาทิ "กรุงศรี คาร์ ฟอร์ แคช" ที่มีแคมเปญดอกเบี้ย 0.30% ต่อเดือน วงเงินสูงสุด 100% ผ่อนนานสูงสุด 72 เดือน โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน รวมถึงลีสซิ่งกสิกรไทยก็เพิ่งออก "สินเชื่อรถช่วยได้กสิกรไทย" ที่คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่ต้องการความยืดหยุ่น สามารถปิดบัญชีได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยส่วนที่เหลือ พร้อมกับขยายวงเงินสินเชื่อให้สูงสุดถึง 100% ของมูลค่ารถ หรือโครงการ "รถแลกเงินของธนชาต" เป็นต้น

ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทิศทางตลาดเช่าซื้อรถยนต์ที่เติบโตอย่างร้อนแรงมากในช่วงนี้ แม้จะอยู่ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นก็ตาม แต่ถือว่าดอกเบี้ยเช่าซื้อยังต่ำเมื่อเทียบกับสินเชื่อหลาย ๆ ประเภท และเชื่อมั่นว่าตลาดนี้เติบโตไปตามดีมานด์ของตลาดรถใหม่ ไม่ได้เกิดจากการเร่งเครื่องสินเชื่อ หรือเกิดภาวะเก็งกำไรแต่อย่างใด

"ตลาดรถยนต์คงไม่มีใครเข้ามาเก็งกำไรเหมือนตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะรถยนต์มีแต่มูลค่าลดลง คงไปเก็งกำไรไม่ได้ และอายุสินเชื่อก็สั้นกว่า สินเชื่อบ้านค่อนข้างมาก ซึ่งในการพิจารณาสินเชื่อก็ต้องดูว่าลูกค้ามีความสามารถชำระเงิน อาชีพชัดเจน มีรายได้สม่ำเสมอเป็นหลักอยู่แล้ว"

นายอิสระกล่าวอีกว่า ปัจจัยหลักในการสะท้อนความเสี่ยงสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ก็คือ เงินดาวน์ ยิ่งวางเงินดาวน์ต่ำ ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยในส่วนของเงินดาวน์ปัจจุบันมีการลงมาเล่นที่เงินดาวน์ถึงต่ำ 0-5% ซึ่งจะเป็นแคมเปญพิเศษเฉพาะกลุ่ม เฉพาะรุ่น ดังนั้น หาก ธปท.จะควบคุมให้สินเชื่อนี้มีคุณภาพ ก็อาจเป็นการกำหนดเกณฑ์เงินดาวน์ขั้นต่ำก็ได้ เช่น วางเงินดาวน์ไม่ต่ำกว่า 10-20% หรือจะคุมเกณฑ์ดอกเบี้ยขั้นต่ำก็ได้เช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของตลาดรถใหม่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8.8-9.2 แสนคัน ขยายตัว 10-15% โดยมูลค่าสินเชื่อในระบบจะอยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท เติบโต 28% ขณะที่คาดการณ์ถึงปี 2555 ยอดขายรถใหม่น่าจะขยายตัวต่อเนื่องในอัตรา 6-12% เป็นจำนวนรถใหม่ 9.5 แสนคัน-1.01 ล้านคัน และเชื่อว่าสินเชื่อจะขยายตัวถึง 30% เป็นมูลค่า 8.32 แสนล้านบาท

นายณรงค์ ศรีจักรินทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดที่เติบโตร้อนแรงในวันนี้ เป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรง พร้อมกับตลาดรถใหม่ที่ขยายตัวค่อนข้างหนักในปีนี้ แต่เชื่อมั่นว่าไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ เพราะสัดส่วนของรถยนต์ในไทยต่อจำนวนประชากรยังค่อนข้างน้อย และเมื่อดูจากตัวเลขการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวประมาณ 20% ถือว่าไม่ได้มากจนผิดปกติ

"ยอมรับว่าการจะคุมการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะจะล้อไปกับปริมาณการเติบโตของรถใหม่ ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยสะท้อนต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น การกำกับดูแลก็ต้องสมดุลไม่ให้กระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ"

ส่วนการกำกับดูแลด้วยเงื่อนไขการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำนั้น นายณรงค์เห็นว่า อาจจะช่วยได้บางส่วน แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันเรื่องดาวน์ต่ำออกมาต่อเนื่อง ต่ำสุด 0-5% แต่ก็เป็นการจำกัดเฉพาะกลุ่ม เช่น เลือกเฉพาะรถบางรุ่น หรือลูกค้าบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ ขณะเดียวกันปริมาณธุรกรรมที่อยู่ในกลุ่มเงินดาวน์ต่ำกว่า 10% มีเพียง 10-15% เท่านั้น ถือว่าไม่เยอะมาก

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1315361007&grpid=00&catid=no

นโยบาย รถคันแรก อาจส่งผลให้ค่ายรถผลิตอีโคคาร์ไม่ทัน กระทบการตัดสินใจซื้อ รถป้ายแดง

นายภิญญาวัฒน์ จันทรกานตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคทีบี ลีสซิ่ง จำกัด ในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวถึงนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลว่า เนื่องจากมาตรการ รถยนต์คันแรกของรัฐบาลที่เน้นให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับผู้ซื้อที่ไม่เคยเป็นเจ้าของรถมาก่อน ทำให้ประเมินได้ว่าจะมีผู้ที่อยู่ในข่ายได้ประโยชน์นี้ไม่มากนัก และ อาจทำได้เพียงกระตุ้นความต้องการซื้อให้ เพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลโดยรวมต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และธุรกิจลีสซิ่ง

ทั้งนี้ นโยบายที่เน้นรถยนต์อีโคคาร์ นั้น จะพบว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือปริมาณรถยนต์ที่จะส่งมอบไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในรถยนต์ที่เป็นแบรนด์หลักของธุรกิจ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีผลบวกต่อธุรกิจมากนัก เนื่องจากแม้จะมีความต้องการ และมียอดขาย แต่รถยนต์ประเภทอีโคคาร์ ที่มีปริมาณการผลิตไม่เพียงพออาจมีผลต่อการตัดสินใจของผูบริโภคได้เช่นกัน นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผอ.อาวุโสธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (TBANK) กล่าวถึงนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลว่า ขณะนี้ความชัดเจนยังไม่มากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของผู้บริโภคอาจเป็นการช่วยสร้างสีสันและบรรยากาศที่ดีในกลุ่มผู้ที่ต้องการมีรถยนต์ คันแรก ซึ่งการลดหย่อนต่างๆ จะช่วยเพิ่ม กำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภคได้ อย่างไรก็ตามหากรายละเอียดของนโยบายสามารถกระตุ้นตลาดรถยนต์ได้จริง ก็ย่อมมีผลดีต่อทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์และธุรกิจลีสซิ่ง

ส่วนนโยบายดังกล่าวจะมีผลกระทบ ต่อตลาดรถยนต์มือสองหรือไม่นั้น นายอนุชาติ กล่าวว่า ไม่น่าจะกระทบทั้งในเชิงยอดขายและราคา เนื่องจากเมื่อพิจารณารายละเอียดของนโยบายนี้เบื้องต้น คาดว่าจะมีเงื่อนไขที่เกี่ยวเนื่องกับ ระบบฐานผู้จ่ายภาษีเป็นหลัก ดังนั้นผู้ที่ไม่เข้าข่ายก็ยังมีจำนวนสูงพอสมควร อีกทั้งกลไกของราคาจะเป็นตัวประคองภาพรวมของตลาดรถยนต์มือสองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม จะต้องติดตามรายละเอียดในเงื่อนไขต่างๆ ก่อน ซึ่งธนาคาร ยังไม่จำเป็นต้องมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพิ่มเติมจากปัจจุบันแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำหรับพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารขณะนี้ มีสัดส่วนรถกระบะคิดเป็น 55% ของสินเชื่อรวม และ 45% เป็นสินเชื่อรถเก๋ง โดยในส่วนนี้จะมีสัดส่วนของรถยนต์ที่เป็นอีโคคาร์ไม่ถึง 20%

ก่อนหน้านี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายรถคันแรกว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ และจะเร่งนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภาย ในสัปดาห์ถัดไป สำหรับหลักเกณฑ์ในการดำเนินการเบื้องต้นนั้น ยังคงมีนโยบายให้มีการคืนภาษีสรรพสามิตเต็มอัตราแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท สำหรับรถกระบะและรถอีโคคาร์

“ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างที่กรมสรรพากรจะต้องไปหารือเรื่องวิธีการคืนภาษีว่าจะดำเนินการอย่างไรเพราะยังติดปัญหาทางเทคนิคในการดำเนินการอยู่นิดหน่อย แต่จะเร่งให้ได้ข้อสรุปให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันเข้า ครม.ภายในเดือนก.ย.นี้และให้สามารถประกาศใช้ได้ทันภายในวันที่ 1 ต.ค. 2554” นายบุญทรง กล่าว

แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า เรื่องภาษีรถยนต์คันแรกยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้สิทธิประโยชน์แก่รถประเภทไหน เพราะถ้าให้รถอีโคคาร์ก็จะทำให้มีค่ายรถยนต์แค่ 2 ค่ายที่ได้ประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีกรณีของรถกระบะก็ยังไม่สรุปชัดว่าจะเป็นรถกระบะ 2 ประตู หรือ 4 ประตู หรือรถกระบะแบบดัดแปลง เพราะถ้าให้สิทธิได้หมดก็จะทำให้มีรถ ที่เข้าข่ายได้ลดภาษีเพิ่มอีกมากกว่า 1 แสนคัน

ทั้งนี้ ยังต้องคำนึงถึงประชาชนทั่วไป ที่ซื้อรถยนต์คันแรก อาจจะร้องเรียนว่าไม่ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ซึ่งถ้ารัฐยอมลดภาษีให้เป็นการทั่วไปทั้งหมด จะทำให้รายได้ของรัฐหายไปปีละหลายหมื่นล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก
http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355300

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

กระตุ้นยอด ตลาดซูเปอร์คาร์ครึ่งปีหลัง

ค่ายคาวาลลิโน ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เฟอร์รารี่ และ นิช คาร์ ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ลัมโบร์กินี ควงแขนกระตุ้นตลาดรถซูเปอร์คาร์ด้วยการเปิดตัวรถใหม่ เริ่มตั้งแต่ เฟอร์รารี่ เอฟเอฟ ขณะที่นิช คาร์ เตรียมเปิดรุ่นพิเศษปลายเดือนหน้า พร้อมจัดกิจกรรมกระตุ้นยอดให้อีกหนึ่งแบรนด์ซูเปอร์คาร์ โลตัส ด้วยการนำรถฟอร์มูล่า วัน มาจัดกิจกรรมและโชว์ทั้งปี

นางนันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารี่แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่าได้ทำการเปิดตัวรถยนต์เฟอร์รารี่ เอฟเอฟ แบบ 4 ที่นั่งขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพิเศษเป็นครั้งแรกของเฟอร์รารี่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 12 สูบ 6262 ซีซี 660 แรงม้า และสามารถทำความเร็วจาก 0 ไปสู่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 3.7 วินาที สนนราคาจำหน่ายรถในรุ่นใหม่นี้ประมาณ 32 - 33 ล้านบาท หรือ 725,000 ยูโร

"ยอดขายรวมของคาวาลลิโน มอเตอร์ นับตั้งแต่ทำตลาดในประเทศไทย พบว่ามีจำนวนกว่า 40 คัน คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีรวมสะสม 50 คัน ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ยอดขายเราเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากแผนงานด้านรถรุ่นใหม่ ซึ่งเราจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเปิดเฟอร์รารี่ 458 สปายเดอร์ คาดว่าจะเป็นหลังจากเดือนกันยายนนี้ ส่วนเรื่องราคานั้นคาดว่าจะแพงกว่ารุ่น 458 ธรรมดาประมาณ 20%"

ขณะที่การแข่งขันระหว่างผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการกับเกรย์มาร์เก็ตที่มีการนำรถเข้ามาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า และรวดเร็วกว่านั้น นางนันทมาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการเกรย์มาร์เก็ตหลายราย เพื่อทำความเข้าใจและขอความร่วมมือไม่ให้นำรุ่นรถใหม่เข้ามาจำหน่ายชนกับตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี และในส่วนของบริษัทก็เปิดให้บริการหลังการขายสำหรับรถที่มาจากเกรย์มาร์เก็ตเช่นเดียวกัน แต่ว่าจะต้องเป็นรุ่นรถที่มีจำหน่ายก่อนที่บริษัทจะเข้ามาทำตลาด หรือ หากเป็นรถในรุ่นปัจจุบันก็จะมีการพิจารณาอีกทีหนึ่ง

ด้านนายวิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการบริษัท นิช คาร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ลัมโบร์กินี,ฮัมเมอร์และ โลตัส เปิดเผยว่าเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายรถซูเปอร์คาร์ทั้ง 2 แบรนด์ ทำให้บริษัทมีแผนการตลาด เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ Lamborghini Gallardo Tricolore ในเดือนตุลาคม สนนราคาจำหน่ายประมาณ 22 ล้านบาท

ขณะที่ในแบรนด์โลตัส แม้ว่าในครึ่งปีหลังนี้จะไม่มีแผนงานเปิดตัวรถใหม่ แต่จะมีการกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดกิจกรรมใหญ่ Formula 1 LRGP R31 ในงาน "Welcome LRGP R31 in Thailand" ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 กันยายน 2554 ณ โซนแฟชั่น ฮอลล์ ชั้น1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน สำหรับไฮไลต์ภายในงานจะเป็นการนำรถฟอร์มูล่า วัน ของโลตัส มาร่วมโชว์ให้แฟนคนไทยได้สัมผัส

โดยกิจกรรมดังกล่าวนิช คาร์ ได้จับมือกับพันธมิตรบริษัท โททาล ออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเครื่องโททาลและเอลฟ์ จากประเทศฝรั่งเศส บริษัทหนึ่งในกลุ่มสิทธิผล ,บริษัท ริช อินดัสตรีส์ จำกัด และ CTS บริษัท คริสตัล ซิลด์ โปรเฟสชั่นนอล คาร์ โค้ทติ้ง จำกัด
นายวิทวัส กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวใช้งบประมาณกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะนำรถมาโชว์แล้ว หลังจากนั้นจะมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องต่อไปในระยะเวลา 3 ปี โดยจะมีไฮไลต์สำคัญในช่วงต้นปี 2555 ซึ่งบริษัทกำลังจะร่างแผนงานว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

"เราพยายามจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขายของโลตัส เนื่องจากยังไม่มีรถรุ่นใหม่เข้ามาแนะนำสู่ตลาด ซึ่งการนำรถฟอร์มูล่า วันที่เป็นแบรนด์โลตัส เข้ามาโชว์นั้น ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะและเทคโนโลยีซูเปอร์คาร์ของรถในแบรนด์โลตัสว่าไม่แพ้ซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่นๆในโลก "
นายวิทวัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ยอดขายของนิช คาร์ ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ลัมโบร์กินี มีจำนวน 24 คัน และ โลตัส 20 คัน คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะมียอดขายรวมประมาณ 60 คัน เติบโตจากปีที่ผ่านมา

ด้านโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่บนถนนมอเตอร์เวย์ ที่ตั้งงบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท บนเนื้อที่ 6,500 ตารางเมตร จะเริ่มก่อสร้างกลางเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการในกลางปี 2555 โดยโชว์รูมใหม่แห่งนี้จะเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการที่ครบวงจรของรถยนต์ทุกแบรนด์ที่นิช คาร์ ทำตลาด และจะมีจำนวนช่องซ่อมที่เปิดให้บริการกับลูกค้ากว่า 30 ช่องซ่อม

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,667  4- 7  กันยายน พ.ศ. 2554

ซีวิค รุ่นพิเศษ สปอร์ต เพิร์ล 1.8 ลิตร สนนราคา 949,000

ฮอนด้าเดินเครื่องเพิ่มยอดขายไตรมาส 4 ส่งซีวิค รุ่นพิเศษ สปอร์ต เพิร์ล 1.8 ลิตร สนนราคา 949,000 บาท พร้อมปรับองค์กรแต่งตั้งคนไทยรับตำแหน่งรองประธานอาวุโสเป็นครั้งแรก มั่นใจกลยุทธ์แนวรุกจะขับเคลื่อนยอดขายรวมทั้งปี 1.27 แสนคัน

นายอาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง, ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น, อัตราเงินเฟ้อ-ค่าเงินบาทที่ควบคุมได้ รวมไปถึงแนวโน้มการลงทุนของต่างประเทศที่จะเข้ามาในประเทศไทย ปัจจัยดังกล่าวทำให้มีความเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ในปี 2554 จะสามารถทำยอดขายได้ 920,000 คัน และจะเติบโตอีกประมาณ 9%หรือปริมาณ 1 ล้านคันในปี 2555

ในส่วนของฮอนด้า มียอดขายในครึ่งปีแรก 46,370 คัน เติบโตจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ในตอนแรกคือ 45,000 คัน โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมยังคงเป็น ฮอนด้า ซิตี้ ,ฮอนด้า ซีวิค,ฮอนด้า แจ๊ซ ซึ่งทั้งสามรุ่นมียอดขายคิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 80% ของยอดขายรถยนต์ฮอนด้าทั้งหมด ขณะที่เป้าหมายยอดขายทั้งปีของฮอนด้าในปีนี้วางไว้ที่ 127,200 คัน

นายอาซึชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทจึงทำการเปิดตัวรถรุ่นพิเศษ ซีวิค สปอร์ต เพิร์ล ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC 1.8 ลิตร 140 แรงม้าเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ไฮไลต์ของรถรุ่นพิเศษนี้คือสีขาวมุก(บริลเลียนต์)และตกแต่งสปอร์ตรอบคัน ตั้งแต่สเกิร์ตหน้า,สเกิร์ตข้าง,สเกิร์ตหลัง,สปอยเลอร์หลัง,หม้อพักท่อไอเสียแบบท่อคู่,ล้ออัลลอย 16 นิ้วสีขาวใหม่สไตล์สปอร์ตและสัญลักษณ์พิเศษสปอร์ต เพิร์ล

ส่วนภายในมีการตกแต่งคิ้วบันได สเตนเลสส์ดีไซน์ใหม่ แป้นวางเท้าแบบสปอร์ต และพรมปูพื้นดีไซน์สีแดงใหม่ โดยฮอนด้า ซีวิค รุ่นพิเศษนี้มีจำหน่ายในจำนวนจำกัดสนนราคาในรุ่น 1.8 EAT AS ราคา 949,000 บาท

นายอาซึชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากรถรุ่นพิเศษ และรถรุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัวสู่ตลาดในปลายปีนี้แล้ว แผนงานอื่นๆที่กำลังทยอยเพื่อรองรับการเติบโตก็คือการผลิตรถยนต์ 2 สายการผลิต 2 กะแบบเต็มกำลัง 100% รวมไปถึงเดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการที่มีการลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ 195 ราย ให้เพิ่มขึ้นเป็น 250 รายภายในปี 2555

นอกจากนั้นแล้วฮอนด้า ยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กรด้วยการแต่งตั้งนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารคนไทยได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 กันยายนนี้

สำหรับนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร อายุ 48 ปี มีประสบการณ์การทำงานกับฮอนด้ามากว่า 10 ปี เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าประจำภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย และได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งจะดูแลส่วนงานขาย ส่วนงานการตลาด และส่วนงานบริการทั้งหมดของธุรกิจรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,667 4- 7 กันยายน พ.ศ. 2554